แนวปฏิบัติหรือประเพณีที่ผิดๆ ในวันอีด
หมวดหมู่
แหล่งอ้างอิง
Full Description
แนวปฏิบัติหรือประเพณีที่ผิดๆ ในวันอีด
أخطاء وقعت في العيد
แปลโดย: ดานียา เจะสนิ
ترجمة : دانيال جيك سنيك
แนวปฏิบัติหรือประเพณีที่ผิดๆ ในวันอีด
ถาม – การกระทำใดที่เป็นแนวปฏิบัติหรือประเพณีที่เราควรย้ำระวังมิให้กระทำในวันอีดทั้งสอง?เนื่องจากเราได้สังเกตเห็นการกระทำบางอย่างที่เราปฏิเสธ เช่น การเยี่ยมสุสานหลังจากละหมาดอีด การทำอิบาดะฮฺทั้งคืนในคืนวันอีด เป็นต้น
ตอบ – อัลหัมดุลิลลาฮฺ
สิ่งที่ควรระวังสำหรับการต้อนรับและการเฉลิมฉลองในวันอีด ซึ่งมีบางอย่างที่กระทำไปเพราะความไม่รู้จริงในบทบัญญัติของอัลลอฮฺและสุนนะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) อาทิเช่น
1. ความเข้าใจของคนบางกลุ่มที่คิดว่าการทำอิบาดะฮฺทั้งคืนในคืนวันอีดเป็นบทบัญญัติหนึ่งในอิสลาม
คนบางกลุ่มเข้าใจผิดของคิดว่าในคืนวันอีดนั้นเป็นคืนที่บัญญัติให้ทำอิบาดะฮฺทั้งคืนซึ่งความจริงแล้วการกระทำเช่นนี้เป็นบิดอะฮที่เพิ่งอุตริขึ้นมาใหม่ ไม่มีแบบอย่างจากท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)แต่อย่างใด ส่วนที่มีรายงานกล่าวถึงการกระทำดังกล่าวเป็นรายงานที่อ่อนเชื่อถือไม่ได้กล่าวว่า
( من أحيا ليلة العيد لم يمت قلبه يوم تموت القلوب )
ความว่า “ใครก็ตามที่ทำอิบาดะฮฺในคืนวันอีดทั้งคืนหัวใจของเขาจะไม่ตายทั้งๆ ที่วันนั้นหัวใจของคนอื่นจะตายกันหมด"
หะดีษนี้เป็นหะดีษที่เชื่อถือไม่ได้ ทั้งนี้จะมีอยู่สองสายรายงานด้วยกันรายงานหนึ่งถึงขั้น(เมาฎูอฺ)เท็จ และรายงานหนึ่งอ่อนมากเชื่อถือไม่ได้เลย โปรดดูรายละเอียดในสิลสิละฮฺ อัลอะหาดีษ อัฎเฎาะอีฟะฮฺ วัลเมาฎูอะฮฺ ของอัลอัลบานียฺ (520-521)
ฉะนั้นจึงไม่มีปรากฏบทบัญญัติให้เจาะจงคืนวันอีดในการทำอิบาดะฮฺทั้งคืนคืนเดียว ซึ่งต่างจากผู้ที่ได้ทำอิบาดะฮฺทั้งคืนในคืนอื่นๆก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่มีปัณหาที่จะทำอิบาดะฮฺทั้งคืนในคืนอีดด้วย
2. การเยี่ยมสุสานต่างๆ ในวันอีดทั้งสอง
ทั้งนี้เนื่องจากการกระทำเช่นนี้ขัดกับวัตถุประสงค์และสัญลักษณ์ของวันอีด ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อความรื่นเริง ดีใจและเพื่อความสุข และเป็นการกระทำที่ผิดไปจากแบบอย่างของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ร่วมทั้งการกระทำของชาวสะลัฟ และเข้าข่ายข้อห้ามโดยรวมของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จากการยึดเอาสุสานเป็นสถานที่เฉลิมฉลอง ทั้งนี้หากตั้งใจไปสุสานในเวลาที่เจาะจงหรือในเทศกาลที่นิยมแล้วแสดงว่าได้ยึดเอาสุสานเป็นสถานที่เฉลิมฉลองแล้ว ดังที่นักวิชาการได้อธิบายไว้ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือ อะหฺกาม อัลญะนาอิซฺ วะบิดะอุฮา ของอัลอัลบานียฺ (หน้า 219 และ 258)
3. ละทิ้งการละหมาดญะมาอะฮฺและการนอนหลับในเวลาละหมาด
เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นบางส่วนจากชาวมุสลิมละเลยการละหมาดของเขา และละทิ้งการละหมาดญะมาอะฮฺ ทั้งที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวไว้ว่า
«العهد الذي بيننا وبينهم الصلاة فمن تركها فقد كفر»
ความว่า “ พันธะสัญญาที่แยกระหว่างพวกเรากับพวกเขาคือการละหมาด ฉะนั้นใครที่ละทิ้งการละหมาด เขาผู้นั้นได้ปฏิเสธแล้ว" (รายงานโดยอัตติรฺมิซียฺ 2621 / และอันนะสาอียฺ 463 ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบว่าเป็นหะดีษที่มีสายรายงานที่ถูกต้องโดยท่านอัลอัลบานียฺในหนังสือของเขา เศาะหีหฺ อัตติรฺมิซียฺ)
และท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า
«إِنَّ أَثْقَلَ صَلاةٍ عَلَى الْمُنَافِقِينَ صَلاةُ الْعِشَاءِ وَصَلاةُ الْفَجْرِ وَلَوْ يَعْلَمُونَ مَا فِيهِمَا لأَتَوْهُمَا وَلَوْ حَبْوًا وَلَقَدْ هَمَمْتُ أَنْ آمُرَ بِالصَّلاةِ فَتُقَامَ ثُمَّ آمُرَ رَجُلا فَيُصَلِّيَ بِالنَّاسِ ثُمَّ أَنْطَلِقَ مَعِي بِرِجَالٍ مَعَهُمْ حُزَمٌ مِنْ حَطَبٍ إِلَى قَوْمٍ لا يَشْهَدُونَ الصَّلاةَ فَأُحَرِّقَ عَلَيْهِمْ بُيُوتَهُمْ بِالنَّار»
ความว่า “แท้จริงการละหมาดที่หนักหนาสาหัสที่สุดสำหรับพวกมุนาฟิกคือการละหมาดอิชาอ์และละหมาดฟัญร์ ซึ่งหากว่าพวกเขารู้ว่าในสองละหมาดนั้นมี(ความประเสริฐ)อะไรบ้าง พวกเขาย่อมต้องไปละหมาดทั้งสองเวลาแม้ว่าด้วยการคลานไปก็ตาม และแท้จริงฉันใคร่เกือบที่จะสั่งผู้อื่นให้นำการละหมาด แล้วฉันก็จะนำคนส่วนหนึ่งไปกับฉันพร้อมด้วยไม้ฟืน ไปหาคนที่ไม่มาละหมาดและจะได้เผาบ้านเรือนของพวกเขาด้วยไฟ" (บันทึกโดย มุสลิม 651)
4. การปนเประหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย และการเบียดเสียดกันในสถานที่ละหมาด บนถนนและที่อื่นๆ
ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการกระทำที่นำไปสู่ฟิตนะฮฺและอันตรายที่ใหญ่หลวง จำเป็นต้องเตือนระหวังทั้งหญิงและชายให้หลีกเลี่ยงการกระทำดังกล่าว ต้องอาศัยมาตรการในการควบคุมให้มีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ และควรระวังอย่าปล่อยให้บรรดาผู้ชายและวัยรุ่นออกจากสถานที่ละหมาดหรือมัสญิดจนกว่าบรรดาผู้หญิงจะออกกันหมดแล้ว
5. การออกจากบ้านของผู้หญิงด้วยสภาพที่ใส่เครื่องหอม เสริมสวย เปิดเผยร่างกาย
ทั้งนี้การกระทำเช่นว่านี้คือการกระทำที่พบเห็นกันทั่วไป ซึ่งไม่ค่อยมีใครสนใจที่จะห้าม วัลลอฮุลมุสตะอาน แม้กระทั่งผู้หญิงบางคน(ขออัลลอฮฺจงชี้นำพวกเขาด้วย)ทั้งๆ ที่จะไปละหมาดตะรอวีหฺที่มัสญิด ไปละหมาดอีดหรือไปทำอิบาดะฮฺอื่นๆ ก็ยังแต่งตัวด้วยชุดที่มีสีสันฉูดฉาดเรียกร้องความสนใจ เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า
« أَيُّمَا امْرَأَةٍ اسْتَعْطَرَتْ فَمَرَّتْ عَلَى قَوْمٍ لِيَجِدُوا مِنْ رِيحِهَا فَهِيَ زَانِيَةٌ»
ความว่า “หญิงใดใครก็ตามที่ใส่เครื่องหอม แล้วเดิมผ่านกลุ่มผู้ชายเพื่อพวกเขาได้ดมกลิ่นหอมนั้นๆ แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นคือผู้ซีนาแล้ว" (รายงานโดยอันนะสาอียฺ 5126 และ อัตติรฺมิซียฺ 2786 / ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบว่าเป็นหะดีษที่มีสายรายงานที่ดีโดยท่านอัลอัลบานียฺในหนังสือของเขา เศาะหีหฺ อัตตัรฺฆีบ วัตตัรฺฮีบ 2019)
และอีกหะดีษที่รายงานโดยอบูฮุร็อยเราะฮฺกล่าวว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้กล่าวว่า
«صِنْفَانِ مِنْ أَهْلِ النَّارِ لَمْ أَرَهُمَا قَوْمٌ مَعَهُمْ سِيَاطٌ كَأَذْنَابِ الْبَقَرِ يَضْرِبُونَ بِهَا النَّاسَ وَنِسَاءٌ كَاسِيَاتٌ عَارِيَاتٌ مُمِيلاتٌ مَائِلاتٌ رُءُوسُهُنَّ كَأَسْنِمَةِ الْبُخْتِ الْمَائِلَةِ لا يَدْخُلْنَ الْجَنَّةَ وَلا يَجِدْنَ رِيحَهَا وَإِنَّ رِيحَهَا لَيُوجَدُ مِنْ مَسِيرَةِ كَذَا وَكَذَا »
ความว่า “ มีบุคคลสองประเภทที่เป็นชาวนรก ซึ่งฉันยังไม่พบว่ามีในสมัยฉัน ประเภทแรกคือกลุ่มคนที่มีแส้อยู่กับตัว ซึ่งคล้ายๆ หางวัว พวกเขาจะใช้แส้นั้นตีผู้คน ประเภทที่สองคือบรรดาผู้หญิงที่เดินเปลือยเท้า เปิดเผยเรือนร่าง เดินทำท่าโยกไปโยกมาคล้ายเดินแบบ มีทรงผมเหมือนโหนกของอูฐที่เอียง ซึ่งผู้คนเหล่านี้จะไม่ได้เข้าสวรรค์และไม่ได้สัมผัสกับกลิ่นอายของสวรรค์ ทั้งๆ ที่กลิ่นอายของสวรรค์นั้นจะสัมผัสได้แม้ในระยะห่างเท่านั้นเท่านี้" (รายงานโดยมุสลิม 2128)
ดังนั้นบรรดาผู้ปกครองที่ดูแลบรรดาผู้หญิงเหล่านี้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีความตักวาต่ออัลลอฮฺให้มากๆ ต่อพฤติกรรมของผู้ที่อยู่ใต้ความดูแลของพวกเขา เขาจะต้องยืนหยัดอยู่บนสิ่งที่ควรจะเป็นตามที่อัลลอฮฺกำหนดให้เขามีอำนาจปกครองเหนือผู้หญิงเหล่านั้น อัลลอฮฺตะอาลากล่าวว่า
«الرِّجَالُ قَوَّامُونَ عَلَى النِّسَاء بِمَا فَضَّلَ اللّهُ بَعْضَهُمْ عَلَى» (النساء : 34 )
ความว่า “ บรรดาผู้ชายนั้นมีอำนาจเหนือบรรดาผู้หญิง ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งที่อัลลอฮฺให้บางกลุ่มในหมู่พวกเขาเหนือกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง" (อัน-นิสาอ์ 34)
ดังนั้นพวกเขาจะต้องชี้แนะและควบคุมบรรดาผู้หญิงเหล่านั้นให้อยู่ในครรลองที่ทำพวกเธออยู่รอดและปลอดภัยทั้งในโลกนี้และโลกหน้า โดยการหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่หะรอมและส่งเสริมให้พวกเธอทำในสิ่งที่นำไปสู่ความใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ
6. การฟังเสียงดนตรีหรือเสียงขับร้องเป็นทำนองที่หะรอม
ดนตรีหรือเพลงที่ปฏิบัติกันอยู่ทั่วไปในสมัยนี้ ได้รับความนิยมแพร่หลายกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้คนส่วนมากถือเป็นเรื่องเล็ก เรื่องธรรมดา ไม่ค่อยสนใจที่จะห้ามปราม มีทั้งในทีวี ในวิทยุ ในรถ ในบ้าน ในตลาด (ลาเหาละ วะลากุวะตะ อิลลาบิลลาฮฺ) หรือแม้กระทั่งในโทรศัพท์มือถือก็ยังไม่เว้นจากความชั่วร้ายเหล่านี้ มีหลายบริษัทที่แข่งกันนำเสนอเสียงริงโทนในมือถือเป็นเสียงเพลงหรือเสียงดนตรีให้กับลูกค้า จนทำให้เสียงเพลงเหล่านี้ได้เข้าไปถึงแม้กระทั่งในมัสญิดผ่านโทรศัพท์มือถือเหล่านั้นโดยปริยาย ... สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นความอัปยศที่ใหญ่หลวง เป็นความชั่วที่เหลือเชื่อเมื่อมีการฟังเพลงหรือดนตรีเกิดขึ้นได้ในมัสญิดซึ่งถือเป็นบ้านของอัลลอฮฺ (โปรดดูรายละเอียดในฟัตวาหมายเลขที่ 34217)
นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตามที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เคยกล่าวไว้ว่า
«ليكونن من أمتي أقوام يستحلون الحِر والحرير والخمر والمعازف»
ความว่า “ในภายภาคหน้าจะต้องมีขึ้นในท่ามกลางประชาชาติอย่างแน่นอน ซึ่งบรรดาผู้คนที่ถือว่าการซินา ผ้าไหมสำหรับผู้ชาย การดื่มน้ำเมา และการดนตรีเป็นเรื่องที่หะลาล" (รายงานโดยอัลบุคอรียฺ)
ซึ่งคำว่า (الحِر ) คืออวัยวะเพศที่หะรอม หมายถึงการซินา และคำว่า ( المعازف ) คือเพลงและเครื่องดนตรีทั้งหลาย (โปรดดูรายละเอียดในฟัตวาหมายเลขที่ 34432 และ 5000)
และสำหรับมุสลิมนั้นเขาจะต้องมีความตักวาต่ออัลลอฮฺ เขาจะต้องรู้สำนึกถึงในนิอฺมะฮฺที่อัลลอฮฺให้แก่เขาแล้วต้องชุโกรฺต่ออัลลอฮฺ ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการชุโกรฺเลย ถ้าหากมุสลิมไปทำมะอฺศิยะฮฺต่ออัลลอฮฺทั้งๆ ที่อัลลอฮฺให้นิอฺมะฮฺแก่เขาอยู่ตลอดเวลา
ครั้งหนึ่งมีคนศอและฮฺ(มุสลิมที่ดี)คนหนึ่งเดินผ่านผู้คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังสนุกสนาน เฮฮากับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ในวันอีด เขาจึงพูดกับพวกเขาเหล่านั้นความว่า “หากพวกท่านคือผู้ที่ทำดีมาแล้วในเดือนเราะมะฎอนการกระทำเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นการชุโกรต่ออัลลอฮฺที่ชี้นำให้พวกท่านทำดี แต่หากพวกท่านคือผู้ที่ทำชั่วมาก่อนหน้านี้ โอ้ พวกท่านไม่น่าทำเช่นนี้เลยทั้งๆ ที่อัลลอฮฺเมตตาพวกท่านอยู่ตลอดเวลา"
วัลลอฮุอะอฺลัม